AI ในการค้าปลีกคืออะไร
AI ในการค้าปลีกช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกแบบเกือบเรียลไทม์ เพื่อทำงานอัตโนมัติ สร้างสรรค์นวัตกรรม และตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของลูกค้า
เหตุใดจึงต้องใช้ AI ในการค้าปลีก
ปัญญาประดิษฐ์กำลังปฏิวัติภูมิทัศน์การค้าปลีก ตัวอย่างเช่น:
- คอมพิวเตอร์วิทัศน์ช่วยให้ผู้ค้าปลีกได้รับข้อมูลเชิงลึกแบบเกือบเรียลไทม์เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อและสินค้าคงคลัง ช่วยให้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น การชำระเงิน ดำเนินไปอย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งเสริมความพยายามในการป้องกันการสูญเสียในร้านค้าแบบดั้งเดิมโดยเพิ่มการติดตามและแจ้งเตือน
- การเรียนรู้ของเครื่องช่วยปรับแนวทางปฏิบัติในการจัดการสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกัน
- AI เชิงสนทนากำลังถูกนำมาใช้เพื่อเสริมการบริการลูกค้า ให้ความช่วยเหลือในการซื้อสินค้าและบริการแบบปรับเฉพาะบุคคล และเร่งความเร็วในการสั่งอาหารแบบไดรฟ์ทรูในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
ผู้ค้าปลีกที่ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้าและดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะครองตำแหน่งทางการตลาดที่ดีกว่าที่พร้อมเติบโตในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในปัจจุบัน
ประโยชน์ของ AI ในการค้าปลีก
ผู้ค้าปลีกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเนื่องจากผลกระทบหลังการระบาดครั้งใหญ่ การบิดเบือนของห่วงโซ่อุปทาน การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ลูกค้าซื้อและวิธีการที่ลูกค้าซื้อ และการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดของความสามารถในจุดเดิมและจุดที่ผู้ค้าปลีกก้าวตามไม่ทัน แนวคิดริเริ่มสู่ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ผู้ค้าปลีกปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงใหม่ของความต้องการของลูกค้าและของธุรกิจในปัจจุบัน
AI ในการค้าปลีกช่วยเสริมความสามารถของพนักงานได้หลายวิธี:
- การผลักดันยอดขาย: เครื่องมือที่ใช้ AI สามารถช่วยเพิ่มยอดขายและอัตราการแปลงให้เป็นลูกค้าได้ โดยปรับให้เหมาะสมและปรับการซื้อแบบเฉพาะบุคคล
- การเพิ่มการมองเห็น: ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องทราบสถานะของสินค้า เช่น ที่ตั้ง ความพร้อมจำหน่าย และสินค้าคงคลัง รวมถึงรูปแบบและกิจกรรมการจับจ่ายในร้าน นิสัยและความชอบของลูกค้า และจุดที่พนักงานสามารถเน้นกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ช่วยรวบรวมข้อมูล เป็นรากฐานของมุมมองการดำเนินการค้าปลีกที่ครอบคลุมและถูกต้องมากขึ้น ช่วยให้มองเห็นห่วงโซ่อุปทาน สินค้าคงคลัง และที่ตั้งร้านค้าปลีก
- ประสิทธิภาพการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทาน: ตั้งแต่การสนับสนุนลูกค้าผ่านประสบการณ์การซื้อ ไปจนถึงการตรวจสอบ การทำให้เป็นอัตโนมัติ และการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะ ผู้ค้าปลีกสามารถใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุดในการขนถ่ายสินค้าคงคลัง การจัดเก็บในคลังและการกระจายสินค้า และที่ตั้งร้านค้าปลีก
- การทำความเข้าใจลูกค้า: เครื่องมือที่ใช้ AI สามารถช่วยสร้างโปรไฟล์กลุ่มลูกค้า เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างละเอียดมากขึ้น รวมถึงนิสัย ความต้องการ และความชอบส่วนบุคคล ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้สามารถบ่งชี้แนวคิดริเริ่มทางการตลาด โปรโมชัน แรงจูงใจจากความภักดี และแผนงานแคมเปญต่างๆ
- การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า: ผู้ค้าปลีกต้องการกลยุทธ์ที่ทำให้พวกเขาสามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่าง “ราบรื่น” ซึ่งหมายความว่า มีช่องทางในการซื้อมากขึ้น มีฟังก์ชันการทำงานเพิ่มขึ้น และมีการสื่อสารที่มากขึ้นเพื่อดึงดูดการมีส่วนร่วมแบบโต้ตอบและการสร้างความสัมพันธ์ ลูกค้าต้องการความยืดหยุ่นในการค้นหาและซื้อจากหลายช่องทาง เพื่อเร่งความเร็วในการมีปฏิสัมพันธ์และความสนใจแบบเฉพาะบุคคล AI ในการค้าปลีกสามารถช่วยลูกค้าได้ ด้วยการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ การสอบถามฝ่ายบริการลูกค้า และการแก้ไขปัญหา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งเสริมความภักดีของลูกค้า
- การลดโครงสร้างที่ซับซ้อน: โดยธรรมชาติของการค้าปลีก ซึ่งมีแบรนด์จำนวนมาก มีโครงสร้างแบบแฟรนไชส์และองค์กรที่ผสมผสานกัน มีการเข้าซื้อกิจการบ่อยครั้ง มีที่ตั้งกระจายในหลายพื้นที่ และมีการผสมผสานการดำเนินงานออนไลน์และแบบเดิม ส่งผลให้มีความซับซ้อนเชิงองค์กรและการดำเนินงานอย่างมาก เครื่องมือที่ใช้ AI อัจฉริยะช่วยให้รวมเป็นหนึ่ง ปรับให้สอดคล้อง และลดความซับซ้อนของกระบวนการเพื่อให้มีความสามารถในการจัดการแบบบูรณาการ
ความท้าทายเกี่ยวกับ AI ในการค้าปลีก
แม้ว่า AI ในการค้าปลีกมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี แต่อาจนำมาซึ่งความท้าทายที่ต้องจัดการ เช่น:
- AI อย่างรับผิดชอบ: รากฐานของ AI ทั้งหมดในกลยุทธ์การค้าปลีก คือ ความมุ่งมั่นในการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ เพื่อความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความครอบคลุม และการกำกับดูแล การดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อใช้ AI อย่างรับผิดชอบจะสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ ความมั่นใจของพนักงาน และความภักดีของลูกค้าในระยะยาว
- ขีดจำกัดความอดทนของลูกค้าที่อาจเกิดขึ้น: ผู้ค้าปลีกต้องใส่ใจกับการรับรู้ของลูกค้าเกี่ยวกับกลยุทธ์การติดตามทางดิจิทัลสำหรับการตลาดและการดำเนินงานในร้านค้า สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ความสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาและชื่อเสียงของแบรนด์ เมื่อพิจารณาใช้ AI ใหม่ในแนวคิดการค้าปลีก
- ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: การเพิ่มเครื่องมือดิจิทัล อุปกรณ์หรือพาร์ทเนอร์รายใหม่ หมายถึง อย่างน้อยที่สุดอาจต้องมีการแชร์ข้อมูลลูกค้าและเปิดแหล่งใหม่ของการละเมิดที่อาจเกิดขึ้น ความปลอดภัยต้องเป็นข้อกังวลอันดับต้น ๆ เมื่อเลือกโซลูชันหรือพาร์ทเนอร์ หรือเมื่อใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
- การลงทุนด้านองค์กร: การอัปเกรดและการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่เป็นความคิดริเริ่มที่สำคัญ เนื่องจากระบบทั้งหมดต้องบูรณาการอย่างราบรื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การฝึกอบรมพนักงานยังเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีเพื่อปรับความต้องการทางธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของคุณให้สอดคล้องกับโซลูชันที่ใช้ AI ที่เหมาะสม สามารถช่วยคุณวางแผนการลงทุน เพื่อจำกัดการหยุดชะงักและสร้างผลตอบแทนมากขึ้น
AI ในรูปแบบการใช้งานการค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากกำลังพิจารณาว่า เทคโนโลยี AI เช่น คอมพิวเตอร์วิทัศน์ การเรียนรู้เชิงลึก หรือ AI เชิงการสร้าง สามารถช่วยคาดคะเนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคู่แข่งและในตลาดการแข่งขันได้อย่างไร
เทคโนโลยีและโซลูชันที่ใช้เพื่อใช้งาน AI ในร้านค้าปลีกแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับความท้าทายทางธุรกิจที่กำลังแก้ไขหรือโครงการที่กำลังปรับใช้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ AI มากที่สุดในรูปแบบการใช้งานการค้าปลีก ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ AI เช่น โปรเซสเซอร์ AI และตัวเร่งความเร็ว AI กล้อง เซ็นเซอร์ หรือเทคโนโลยีการประมวลผล Edge อื่น ๆ และ ซอฟต์แวร์ AI ที่ปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมการค้าปลีก
สร้างการช้อปปิ้งและการชำระเงินที่ราบรื่น
ผู้ค้าปลีก ไม่ว่าจะเป็นร้านบูติกเล็ก ๆ ไปจนถึงซูเปอร์สโตร์ข้ามชาติ มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและปรับเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ดี เมื่อผู้บริโภคเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป
ลูกค้าในปัจจุบันคาดหวังประสบการณ์การช้อปปิ้งและการชำระเงินที่ราบรื่น เทคโนโลยี AI อัจฉริยะและโซลูชันซอฟต์แวร์สามารถช่วยปรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ให้สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น การชำระเงินโดยไม่มีแคชเชียร์ ระบบการจ่ายเงินด้วยตนเองอัจฉริยะ และการวิเคราะห์วิดีโอแบบบูรณาการ ที่สามารถระบุผลิตภัณฑ์ได้เมื่อบาร์โค้ดหายไปหรือไม่สามารถอ่านได้ อาจช่วยลดความจำเป็นในการขอความช่วยเหลือจากพนักงาน
การสร้างปฏิสัมพันธ์ในการทำธุรกรรมและงานประจำวันส่วนใหญ่ในสภาพแวดล้อมการค้าปลีกให้เป็นอัตโนมัติ เช่น การตรวจสอบราคา การบริการลูกค้า และคำแนะนำด้วยตนเอง ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สะดวกและสอดคล้องยิ่งขึ้น และพนักงานก็พร้อมให้บริการมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในจุดที่สำคัญในกระบวนการซื้อสินค้า
มอบประสบการณ์ลูกค้าที่น่าจดจำและปรับแบบเฉพาะบุคคล
นอกจากการแสวงหาการช้อปปิ้งที่ราบรื่นแล้ว ลูกค้ายังต้องการประสบการณ์ที่ปรับแต่งตามความต้องการของพวกเขาด้วย สำหรับผู้ค้าปลีก เทคโนโลยีที่ใช้ AI สามารถช่วยปรับการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลได้:
- ป้ายดิจิทัลที่ฝังคอมพิวเตอร์วิทัศน์สามารถใช้เป็นโฆษณาแบบทันเวลาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะ
- ตู้จำหน่ายสินค้าที่ตั้งอยู่มากมายให้ลูกค้าสามารถดูผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่พร้อมจำหน่ายในสถานที่อื่น ๆ ได้มากขึ้น เพื่อรองรับกลยุทธ์การค้าปลีกแบบหลายช่องทาง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสการขายพ่วงและการขายต่อยอด
- ตู้จำหน่ายสินค้าดิจิทัลและไร้สัมผัสสามารถจดจำคำพูดและท่าทาง มีตัวเลือกการชำระเงินที่สะดวกมาก การค้นหาเส้นทางบริการด้วยตนเอง หรือการค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ในร้านค้า
- AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยการซื้อและความชอบของลูกค้าเพื่อช่วยแจ้งโปรโมชันผลิตภัณฑ์
- ระบบ POS ที่ใช้ AI สามารถบันทึกข้อมูลการซื้อของลูกค้าเพื่อสร้างคำแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ รองรับกลุ่มลูกค้าประจำ หรือแจ้งข้อเสนอการขายต่อยอดในระหว่างการชำระเงิน
เช่นเดียวกัน การปรับแบบเฉพาะบุคคลเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีก เนื่องจากการบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มได้ถูกต้องมากขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบและความชอบของลูกค้าแต่ละราย ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ปรับปรุงการรักษาลูกค้า และเพิ่มรายได้สุทธิ
ปรับปรุงการคาดการณ์ความต้องการและการขายสินค้า
ยิ่งผู้ค้าปลีกเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มของลูกค้ามากเท่าใด พวกเขาก็จะสามารถตอบสนองความต้องการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในเวลาที่เหมาะสมได้มากขึ้นเท่านั้น AI ในการค้าปลีกสามารถช่วยปรับปรุงการคาดการณ์ความต้องการ แจ้งการตัดสินใจในการกำหนดราคา เพิ่มประสิทธิภาพการสั่งซื้อและการจัดวางผลิตภัณฑ์ และติดตามข้อมูลจากช่องทางออนไลน์เพื่อแจ้งกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซและโปรโมชันทางดิจิทัล
AI ในการค้าปลีกยังช่วยจดจำความตั้งใจซื้อของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อที่ดีที่สุดอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การทำแผนที่ความร้อนของที่ตั้งร้านค้าปลีกที่ใช้คอมพิวเตอร์วิทัศน์เพื่อแสดงว่า ผลิตภัณฑ์ใดที่ดึงดูดความสนใจ ที่ถูกหยิบขึ้นมา ที่ถูกส่งคืน และลูกค้าไปที่จุดใดหลังออกจากชั้นวางผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลอัจฉริยะนี้โดยเฉพาะเมื่อรวมกับข้อมูลธุรกรรม สร้างประสบการณ์ที่ส่งเสริมการมองเห็นและการมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น อีกทั้งวางแผนรูปแบบการจับจ่ายในร้านค้าเพื่อการจัดวางสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
เพิ่มความพยายามในการป้องกันการสูญเสีย
การสูญเสียและการขโมยสินค้าหรือที่เรียกว่า การหดตัวในการค้าปลีก เป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับผู้ค้าปลีกในปัจจุบัน ในปี 2022 ต้นทุนการหดตัวในการค้าปลีกที่ผู้ค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาสูญเสียอยู่ที่เกือบ 112.1 พันล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ1 โดยการผสานรวม AI ผู้ค้าปลีกสามารถยกระดับการตรวจจับวัตถุ การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวที่จุดชำระเงินด้วยตนเอง และเซ็นเซอร์ดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการป้องกันการสูญเสีย เมื่อใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์วิทัศน์ ระบบชำระเงินเหล่านี้สามารถช่วยลดการสูญเสียผลิตภัณฑ์ได้แบบเกือบเรียลไทม์
ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนการจัดการสินค้าคงคลังให้ทำงานอัตโนมัติ
การรักษาระดับสินค้าคงคลังที่ถูกต้องเป็นความท้าทายที่สำคัญของผู้ค้าปลีก การเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของการดำเนินงานและการนำ AI มาใช้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกสามารถมองเห็นมุมมองที่ครอบคลุมของร้านค้า ผู้ซื้อ ผลิตภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทาน เพื่อช่วยในการจัดการสินค้าคงคลัง
เทคโนโลยี AI การค้าปลีกแบบโต้ตอบ ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เพื่อให้มองเห็นสินค้าคงคลังได้แบบเกือบเรียลไทม์ ความพร้อมจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง และข้อมูลเวลาในการจัดส่ง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการย้ายสินค้าคงคลังไปยังช่องทาง/สาขาที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มยอดขายสูงสุด
ตัวอย่างเช่น ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะสามารถระบุสินค้าที่มีสต็อกน้อยหรือหมดสต็อก ข้อผิดพลาดด้านราคา และสินค้าที่ลูกค้าเลือกซื้อได้อย่างรวดเร็ว หุ่นยนต์จัดการสินค้าคงคลังสามารถแจ้งเตือนพนักงานเกี่ยวกับสินค้าที่สูญหายในคลังสินค้าปัจจุบัน และกรอกคำสั่งซื้อจากคลังสินค้าได้โดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกสามารถบริหารร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้พนักงานมีเวลามุ่งเน้นการปรับปรุงประสบการณ์การซื้อสินค้ามากขึ้น
ระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าที่ใช้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบใหม่ผ่านระบบควบคุมคลังสินค้า ตัวอย่างเช่น การใช้แท็กและเซ็นเซอร์สำหรับข้อมูลผลิตภัณฑ์และโลจิสติกส์ และ Edge AI ในการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลแบบเกือบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถตัดสินใจในการจัดส่งได้เร็วขึ้นและมีข้อผิดพลาดน้อยลง การวิเคราะห์ย้อนหลังช่วยให้มั่นใจในความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์และระบุจุดต่าง ๆ ในกระบวนการที่ต้องปรับปรุง เทคโนโลยีโลจิสติกส์ของกลุ่มยานพาหนะที่เชื่อมต่อกัน ทำให้มองเห็นภาพรวมตั้งแต่ศูนย์กระจายสินค้าไปจนถึงการจัดส่งที่ร้านค้าปลีก
อนาคตของ AI ในการค้าปลีก
ลักษณะของการค้าปลีกคือ การนำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ลูกค้าต้องการไปยังลูกค้า และมอบประสบการณ์การซื้อแบบใหม่จากหลายช่องทางทั้งในร้านค้าและทางออนไลน์ วิธีการใหม่ ๆ และสร้างสรรค์จะสร้างโอกาสที่มากขึ้นซึ่งมาจากการบันทึกข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกจาก AI ที่เพิ่มขึ้น
GenAI จะช่วยลดภาระงานและงานประจำของพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีเวลามุ่งเน้นงานที่รับผิดชอบที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น เช่น การสร้างความสัมพันธ์และการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า
เทคโนโลยี AI จะช่วยให้มองเห็นระบบโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การบำรุงรักษารถยนต์ ความท้าทายด้านการจราจร และการย้ายความต้องการสินค้าคงคลังจากร้านค้าหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง
ทั้งหมดนี้รวมกันทำให้ AI ในการค้าปลีกถูกผสานรวมเพิ่มมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์และคำแนะนำแบบโต้ตอบสำหรับลูกค้าแบบปรับเฉพาะบุคคล ซึ่งจะสร้างโลกของความเป็นไปได้และโอกาสใหมม ๆ ให้กับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเปลี่ยนข้อมูลของลูกค้าให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับการดำเนินงานไปอีกขั้น