ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ค้นพบว่าเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยที่ใช้ AI สามารถช่วยให้ธุรกิจต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร เพื่อปกป้องการดำเนินงาน นวัตกรรม และข้อมูลของตน

ประเด็นสำคัญของการรักษาความปลอดภัยด้วย AI

  • เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ธุรกิจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่เพื่อปกป้ององค์กรตั้งแต่ต้นจนจบ

  • โซลูชันการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย AI สามารถยกระดับการปกป้องข้อมูล โมเดล AI และอุปกรณ์ทางกายภาพได้

  • ความสามารถในการรักษาความปลอดภัยที่ใช้ซิลิคอนร่วมกับ AI ช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันโดยตรงให้กับฮาร์ดแวร์อุปกรณ์ปลายทาง เพื่อตรวจจับภัยคุกคามในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น

  • โซลูชันการคำนวณผลแบบเก็บข้อมูลเป็นความลับสามารถช่วยให้ธุรกิจป้องกันโครงการริเริ่ม AI และข้อมูลที่ใช้งานได้ด้วยการแยก การเข้ารหัสลับ และการควบคุมแบบใช้ฮาร์ดแวร์

author-image

โดย

AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์คืออะไร

พลังงานของ AI อยู่ที่ความสามารถในการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่และหลากหลายได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งให้ข้อมูลเชิงลึกเกือบแบบเรียลไทม์ เมื่อนำไปใช้กับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ โซลูชันการรักษาความปลอดภัยที่เปิดใช้งาน AI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจตราระบบและอุปกรณ์ เพื่อดูความผิดปกติและพฤติกรรมที่น่าสงสัย และคาดการณ์ ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมักไม่ต้องมีการแทรกแซงของมนุษย์

ทำไมต้องใช้ AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ทีมไอทีต้องเผชิญกับภารกิจที่ท้าทายในการปกป้องข้อมูลธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญาที่จัดเก็บไว้ในอุปกรณ์และสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุปกรณ์ปลายทาง เช่น พีซี แท็บเล็ต โทรศัพท์ อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ศูนย์ข้อมูล คลาวด์ และที่ขอบเครือข่าย ซึ่งเป็นจุดที่มีการสร้างและประมวลผลข้อมูล จากภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

มีการคาดการณ์ว่าอุปกรณ์ปลายทางเป็นแหล่งที่มาของการโจมตีทางไซเบอร์ที่ประสบความสำเร็จถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้มุ่งเป้าไประดับต่ำกว่าระบบปฏิบัติการ เพื่อเข้าถึงสแต็กระบบทั้งหมด1 ณ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 พบว่าประมาณ 40% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลส่งผลกระทบต่อข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในหลายสภาพแวดล้อม รวมถึงในระบบภายในองค์กรและระบบคลาวด์แบบสาธารณะและแบบส่วนตัว โดยมีค่าเสียหายเฉลี่ยจากการรั่วไหลสูงถึง 4.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2

การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้พัฒนาเกินขีดความสามารถของมนุษย์ในการจัดลำดับความสำคัญของการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัยกำลังเผชิญกับความเหนื่อยล้าจากการรับมือกับการแจ้งเตือนจำนวนมาก จึงมองหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติในโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่เอดจ์จนถึงคลาวด์ นอกจากนี้ 47 เปอร์เซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่เข้าร่วมการสำรวจในการวิจัย Anomali 2024 Cybersecurity Priorities ระบุว่า ศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถมองเห็นภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีได้อย่างเพียงพอ3

เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ ภาคธุรกิจกำลังนำกลยุทธ์การป้องกันอย่างลึกซึ้งมาใช้ ซึ่งประกอบด้วยโซลูชันความปลอดภัยที่ช่วยแยกและปกป้องข้อมูลจากการโจมตี และเทคโนโลยีที่เปิดใช้งาน AI ที่สามารถตรวจจับได้รวดเร็วขึ้น และตอบสนองต่อความผิดปกติและพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้โดยอัตโนมัติ

ประโยชน์ของ AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ธุรกิจที่ใช้ AI สำหรับกิจกรรมการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ต่างก็ตระหนักถึงประโยชน์ทางธุรกิจที่จับต้องได้:

 

  • รายงาน 2024 IBM Security Cost of a Data Breach พบว่าองค์กรที่ใช้ AI ด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างกว้างขวาง และความสามารถในการตรวจจับและสอบสวนโดยอัตโนมัติ สามารถลดต้นทุนการละเมิดข้อมูลได้ถึง 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้ใช้ AI2
  • Morgan Stanley Research ประเมินว่าบริษัททั่วโลกสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ด้วยการใช้ AI เพื่อทำงานอัตโนมัติแทนนักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจตราและวิเคราะห์บันทึกเหตุการณ์ การสรุปการแจ้งเตือน การจัดการแพตช์ และการจัดทำรายงาน4

รูปแบบการใช้งาน AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ขณะที่รูปแบบการใช้งาน AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การใช้งานทั่วไปของเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้แก่:

 

  • การตรวจตราและวิเคราะห์พฤติกรรมของระบบและอุปกรณ์เพื่อกำหนดเส้นฐานกิจกรรม
  • การตรวจจับภัยคุกคามโดยใช้การเรียนรู้ของเครื่องและโทรมาตรของ CPU เพื่อช่วยเปิดเผยการโจมตีที่ตรวจจับได้ยาก ระบุพฤติกรรมผิดปกติ ตีความรูปแบบ และให้มีการแจ้งเตือนแบบเกือบเรียลไทม์
  • การล่าภัยคุกคามที่ระบบถูกตรวจสอบเพื่อหารูปแบบภัยคุกคามที่รู้จักเพื่อตรวจจับตัวบ่งชี้ของการโจมตี
  • การแก้ไขโดยอัตโนมัติเพื่อดำเนินการป้องกันภัยคุกคามหรือการโจมตีใหม่ๆ โดยใช้อัลกอริธึมการเรียนรู้เชิงลึกของ AI ที่ผ่านการฝึกอบรมจากการดำเนินการในสถานการณ์ที่คล้ายกันมาก่อน
  • การจัดการช่องโหว่ความปลอดภัย โดยที่ AI วิเคราะห์ระบบและแอปพลิเคชันของธุรกิจเพื่อระบุจุดเสี่ยงที่อาจต้องได้รับการแก้ไข

การตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงของอุปกรณ์ปลายทาง

แม้ว่าความสามารถการรักษาความปลอดภัยที่เปิดใช้งาน AI สามารถนำไปใช้ได้กับทุกชั้นของเทคโนโลยีสแต็ก แต่การผสานรวม AI ในระดับฮาร์ดแวร์ช่วยเสริมการปกป้องอุปกรณ์ของผู้ใช้ปลายทางจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่มุ่งโจมตีในระดับต่ำกว่าระบบปฏิบัติการ ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงโซลูชันการรักษาความปลอดภัยที่อาศัยซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียวได้

ตัวอย่างเช่น การใช้โทรมาตรของ CPU ร่วมกับการตรวจตราพฤติกรรมโดยใช้ AI สามารถช่วยสร้างโปรไฟล์และตรวจจับมัลแวร์ เช่น แรนซัมแวร์และการทำคริปโตแจ็กกิ้ง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของโซลูชันซอฟต์แวร์

นอกจากนี้ ความสามารถของ AI ที่ทำงานบนอุปกรณ์ยังช่วยลดความหน่วงเวลา ปรับปรุงการควบคุมข้อมูล และลดต้นทุนเมื่อเทียบกับโซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์ เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้บนอุปกรณ์ และการประมวลผลรวมถึงการวิเคราะห์ AI จะทำในเครื่องโดยตรง แทนที่จะส่งขึ้นไปประมวลผลบนคลาวด์

เพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถ AI แบบรวมโดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทาง ธุรกิจสามารถพิจารณาอัปเกรดอุปกรณ์เป็นพีซี AI ซึ่งมาพร้อมโปรเซสเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อปรับเน้นประสิทธิภาพการทำงานและการวางเวิร์กโหลด AI โดยเฉพาะ

การปกป้องเวิร์กโหลด AI และข้อมูลที่สำคัญ

เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและความเป็นส่วนตัวของโมเดล AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ เวิร์กโหลด และข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เป็นความลับ หรืออยู่ภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย ธุรกิจควรพิจารณาใช้โซลูชันการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ปกป้องข้อมูลในทุกขั้นตอนของการดำเนินการ ทั้งในขณะพักเก็บ ระหว่างการส่งผ่าน และในระหว่างการใช้งาน

ตัวเลือกการรักษาความปลอดภัยข้อมูลทั่วไป ได้แก่ การคำนวณผลหลายฝ่ายที่ปลอดภัย การสร้างโทเค็นข้อมูล และการเข้ารหัสลลับแบบโฮโมมอร์ฟิก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ ได้เช่นกัน อีกทางเลือกหนึ่งคือการคำนวณผลแบบเก็บข้อมูลเป็นความลับ

การคำนวณผลแบบเก็บข้อมูลเป็นความลับช่วยเพิ่มการปกป้องข้อมูลสำคัญ โดยไม่จำเป็นต้องแปลงหรือใช้การเข้ารหัสหรือเครื่องมือที่ไม่ปกติ แต่ใช้การแยก การตรวจสอบ การเข้ารหัสลับ และการควบคุมภายในสภาพแวดล้อมการดำเนินการที่เชื่อถือได้ (TEE) เพื่อปกป้องความลับและความเที่ยงตรงของข้อมูล

โดยการนำโซลูชันการคำนวณผลแบบเก็บข้อมูลเป็นความลับมาใช้ ธุรกิจสามารถ:

 

  • จัดให้มีการแยกแอปพลิเคชันจากข้อมูลที่กำลังใช้งานอยู่ ลดพื้นที่การโจมตีและการเข้าถึงข้อมูลสำคัญอย่างมาก
  • จัดให้มีการแยกข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องเสมือน เพื่อจำกัดการเข้าถึงที่ได้รับการป้องกันเฉพาะซอฟต์แวร์หรือผู้ดูแลระบบที่ได้รับอนุญาตอย่างชัดแจ้ง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูล การละเมิด การดัดแปลง หรือการโจรกรรม
  • สร้างบริการ SaaS การยืนยันความเชื่อถือได้แบบ Zero Trust ที่ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของทรัพยากรการคำนวณผลในเครือข่าย ที่เอดจ์ และในคลาวด์

อนาคตของ AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

การใช้ AI เพื่อยกระดับการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านการตรวจตรา การคาดการณ์ การตรวจจับ และการตอบสนองภัยคุกคามอัจฉริยะแบบอัตโนมัติ จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในวงกว้าง ความลึก และความแพร่หลาย ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโซลูชันการรักษาความปลอดภัย

ในขณะเดียวกัน โซลูชันที่ใช้ AI ก็จะไม่รอดพ้นจากความท้าทาย โดยมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีพยายามโจมตีธุรกิจและเครื่องมือที่ใช้ AI ที่ปกป้องธุรกิจเหล่านั้น

เช่นเดียวกับการรักษาความปลอดภัยใดๆ ธุรกิจควรประเมินและปรับวิธีการอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าในการป้องกัน และรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง